ในช่วงปัจจุบันที่การท่องเที่ยวกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง นักท่องเที่ยวจำนวนมากไม่ได้มองหาแค่ความสนุกสนานเพียงอย่างเดียวเหมือนในอดีตอีกต่อไป แต่ยังมองหาประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ทั้งมีความหมายและใส่ใจต่อโลกใบนี้ด้วย แนวคิดนี้ก็คือ แนวคิด “การท่องเที่ยวเชิงยั่งยืน” (Sustainable Tourism) ซึ่งองค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ (UNWTO) ได้ให้นิยามแนวคิดนี้ไว้ว่า “เป็นการท่องเที่ยวที่คำนึงถึงผลกระทบในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างสมดุลระหว่างความต้องการของนักท่องเที่ยวและชุมชนไปพร้อม ๆ กัน”
ขอขอบคุณรูปภาพจาก www.skyscanner.com.tw
หากต้องพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ เมื่อเราเลือกที่จะออกเดินทาง ทานอาหาร หรือเข้าพักในสถานที่ที่ให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ประหยัดพลังงาน หรือหันมาใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น นั่นก็คือการมีส่วนร่วมใน “การท่องเที่ยวเชิงยั่งยืน” ซึ่งกำลังกลายเป็นเทรนด์สำคัญของการท่องเที่ยวในอนาคต และหากคุณกำลังมองหาจุดหมายปลายทางที่ตอบโจทย์ทั้งการพักผ่อนและการใส่ใจสิ่งแวดล้อม ไต้หวันก็คือคำตอบที่ใช่สำหรับการเดินทางครั้งต่อไปของคุณ!
1. ทะเลสาบสุริยันจันทรา (Sun Moon Lake) เมืองหนานโถว (Nantou)
หนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่ติดอันดับ “แหล่งท่องเที่ยวสีเขียวที่ดีที่สุดในโลก” (Top 100 Green Destinations Awards) ที่นอกจากทัศนียภาพที่งดงามราวกับภาพวาดและวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของชนพื้นเมืองแล้ว ที่นี่ยังมีบทบาทสำคัญในการเป็นแหล่งพลังงานสะอาดจากไฟฟ้าพลังน้ำ และเป็นตัวอย่างของการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน
ขอขอบคุณรูปภาพจาก www.skyscanner.com.tw
นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสแนวคิดการท่องเที่ยวเชิงยั่งยืนได้ง่าย ๆ ผ่านการปั่นจักรยานรอบทะเลสาบแทนการใช้รถยนต์ โดยเส้นทางปั่นจักรยานที่ทอดผ่านภูเขาและผืนน้ำกว้างใหญ่ถือเป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่ห้ามพลาดเมื่อมาเยือนที่ทะเลสาบสุริยันจันทรา โดยเฉพาะช่วงปลายปีที่จะมีงาน Come! Bike Day Carnival เทศกาลจักรยานสุดคึกคักที่มาพร้อมกับการแสดงดอกไม้ไฟ เทศกาลชาและคอนเสิร์ต ให้นักท่องเที่ยวได้เพลิดเพลินกับความสนุกสนานได้ตลอดเดือน
2. หมู่บ้านปู้เหล่า (Bulao Tribe) เมืองอี๋หลาน (Yilan)
หมู่บ้านปู้เหล่าเป็นหนึ่งในโครงการ “พัฒนาชนเผ่าอย่างยั่งยืน” ของไต้หวันที่ดำเนินมาเป็นระยะเวลานาน ซึ่งยังคงยึดถือวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน และเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับวัฒนธรรมอันลึกซึ้ง พร้อมสร้างความผูกพันระหว่างผู้คนและธรรมชาติ
ขอขอบคุณรูปภาพจาก www.skyscanner.com.tw
ปัจจุบันหมู่บ้านปู้เหล่าแห่งนี้มีโปรแกรม “ทัวร์หนึ่งวัน” ที่จะพาคุณไปลิ้มรสวัตถุดิบธรรมชาติจากป่าเขาที่ถูกนำมาปรุงเป็นเมนูอาหารสุดสร้างสรรค์ พร้อมเรียนรู้ปรัชญาการใช้ชีวิตแบบ “กินเท่าที่ปลูก ปลูกเท่าที่กิน” ท่ามกลางวิวทิวทัศน์อันแสนงดงามและบรรยากาศเรียบง่ายที่เต็มไปด้วยเรื่องราว นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสประสบการณ์ผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้าอย่างแท้จริง หากใครสนใจแนะนำให้จองทัวร์นี้ล่วงหน้า เพราะมีข้อจำกัดในการรับนักท่องเที่ยวเพียงวันละ 30 คนเท่านั้น
3. อุทยานแห่งชาติชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกเฉียงเหนือและชายฝั่งอี๋หลาน (Northeast and Yilan Coast National Scenic Area) เมืองอี๋หลาน
อุทยานแห่งนี้ติด 1 ใน 100 “แหล่งท่องเที่ยวสีเขียวที่ดีที่สุดในโลก” ติดต่อกันถึง 5 ปีซ้อน จุดเด่นอยู่ที่ทิวทัศน์ภูเขาที่โอบล้อมชายฝั่งทะเลและลักษณะทางธรณีวิทยาอันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้ที่นี่กลายเป็นจุดหมายที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต่างใฝ่ฝันและอยากมาเยือน ที่นี่ยังมุ่งมั่นในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงยั่งยืนโดยการผลักดัน “ต้นแบบการท่องเที่ยวสีเขียว” เพื่อกระตุ้นให้ผู้ประกอบการในพื้นที่ลดการสร้างขยะและประหยัดพลังงาน
ขอขอบคุณรูปภาพจาก www.skyscanner.com.tw
อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ที่นี่ได้ติด 1 ใน 100 ก็คือ คุณค่าทางประวัติศาสตร์ของ “อุโมงค์เฉาหลิ่ง” (Old Caoling Tunnel) โบราณสถานสำคัญของเมืองอี๋หลานและเป็นหนึ่งใน 100 อาคารทางประวัติศาสตร์ของไต้หวัน นอกจากนี้ อุทยานแห่งนี้ยังครอบคลุมสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกมากมาย เช่น ชายหาดฝูหลง (Fulong Beach) หินยักษ์หนานหย่า (Nanya Rock) เส้นทางโบราณเฉาหลิ่ง (Caoling Historic Trail) ไปจนถึงกิจกรรมชมเกาะกุยซาน (Guishan Island) ทำให้ที่นี่เป็นจุดหมายที่สามารถมาเยือนได้ตลอดทั้งปี
4. เป่ยโถว (Beitou) เมืองไทเป (Taipei)
หากคุณกำลังมองหาทริปท่องเที่ยวเชิงยั่งยืนที่ไม่ไกลจากเมืองไทเป “เป่ยโถว” คือจุดหมายที่ไม่ควรพลาด เพราะนอกจากชื่อเสียงทางด้านน้ำพุร้อนที่ช่วยให้คุณผ่อนคลายในช่วงฤดูหนาวแล้ว ย่านนี้ยังเป็นที่ตั้งของ “ห้องสมุดเป่ยโถว” (Beitou Library) ต้นแบบอาคารสีเขียวแห่งแรกของไต้หวัน ตั้งอยู่ในสวนเป่ยโถวที่เต็มไปด้วยต้นไม้และระบบนิเวศอันอุดมสมบูรณ์ และอยู่ใกล้กับ “พิพิธภัณฑ์น้ำพุร้อนเป่ยโถว” (Beitou Hot Spring Museum) อีกด้วย
ขอขอบคุณรูปภาพจาก www.skyscanner.com.tw
ตัวอาคารห้องสมุดแห่งนี้ได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันให้สอดคล้องกับสิ่งแวดล้อม โดยหลังคาถูกออกแบบให้เป็นหลังคาเชิงนิเวศที่ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ (Solar Cell) เพื่อผลิตไฟฟ้า อีกทั้งยังทำเป็นเนินหญ้าที่สามารถกักเก็บและนำน้ำฝนกลับมาใช้ใหม่ได้ หากมีเวลาว่าง ลองหาเวลาสักบ่ายไปชมสถาปัตยกรรมที่สวยงามและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแห่งนี้ แล้วปิดท้ายด้วยการแช่น้ำพุร้อน รับรองว่าจะได้ทั้งความรู้สึกผ่อนคลายและประสบการณ์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน
5. เกาะเสี่ยวหลิวฉิว (Xiaoliuqiu) เมืองผิงตง (Pingtung)
แม้ว่าเกาะเสี่ยวหลิวฉิวจะได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจากนักท่องเที่ยวในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา แต่ที่นี่ยังคงรักษาเอกลักษณ์เรื่องการผลักดันแนวคิดลดการใช้พลาสติกอย่างจริงจังเอาไว้ได้เป็นอย่างดี จนคว้ารางวัลจากเวทีการประชุมด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนระดับโลกเมื่อปี 2019 นอกจากนี้ ชุมชนและร้านค้าบนเกาะยังร่วมกันรณรงค์การท่องเที่ยวแบบไร้พลาสติก พร้อมทั้งขยายแนวคิดการอนุรักษ์เต่าทะเลให้กลายเป็นวัฒนธรรมที่คนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวได้มีส่วนร่วม
ขอขอบคุณรูปภาพจาก www.skyscanner.com.tw
หากเดินทางมายังเกาะเสี่ยวหลิวฉิว สิ่งที่พลาดไม่ได้คือการปั่นจักรยานรอบเกาะ ระยะทางประมาณ 18 กิโลเมตร ที่จะพาคุณเพลิดเพลินไปกับวิวสวย ๆ ของทะเลตลอดทาง พร้อมแวะชมจุดไฮไลต์อย่าง หาดจงอ้าว (Zhong’ao Beach) ถ้ำกุ้งมังกร (Lobster Cave) และแนวปะการังโห้วสือ (Houshi Fringing Reef) หากมีเวลาเหลือ อย่าลืมลองไปดำน้ำเพื่อสัมผัสกับโลกใต้ทะเล หรือใครสนใจเที่ยวและทำกิจกรรมอื่น ๆ บนเกาะเสี่ยวหลิวฉิว ก็สามารถไปดูสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่ https://www.taiwantourism.org/th/what-to-do/what-to-do/xiaoliuqiu-hidden-spots-guide/
6. พิพิธภัณฑ์ป่าไม้หลวนซาน (Luanshan Forest Museum) เมืองไถตง (Taitung)
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ตั้งอยู่เหนือ “หมู่บ้านหลวนซาน” (Luanshan Village) ในเมืองไถตง โดยตั้งใจออกแบบให้กลมกลืนกับธรรมชาติ ไม่มีป้ายบอกทางหรือทางเข้าที่ชัดเจน เพื่อคงไว้ซึ่งความเป็นธรรมชาติและปกป้องต้นไทรยักษ์อันเก่าแก่และทรงคุณค่า พิพิธภัณฑ์ป่าไม้แห่งนี้ยังถูกออกแบบให้เป็นพื้นที่สำหรับการเรียนรู้ด้านสิ่งแวดล้อม การฟื้นฟูวัฒนธรรม การแลกเปลี่ยนระหว่างชนเผ่า รวมถึงการทำกิจกรรมเชิงนิเวศและการทำสมาธิท่ามกลางธรรมชาติ
ขอขอบคุณรูปภาพจาก www.skyscanner.com.tw
นักท่องเที่ยวที่มาที่นี่ สามารถเข้าร่วมโปรแกรม “ทัวร์หนึ่งวันแบบชนเผ่าบูนง (Bunun)” เพื่อเรียนรู้วิถีชีวิตที่กลมกลืนกับป่าไม้ ลิ้มลองอาหารพื้นเมืองที่ปรุงจากผักป่า บาร์บีคิวถ่านไม้แบบบูนง และไวน์ข้าวฟ่างที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ รับรองว่าจะเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำไม่รู้ลืมแน่นอน
ไม่ว่าจะเป็นการออกไปปั่นจักรยานรอบทะเลสาบสุริยันจันทรา สัมผัสวิถีชนเผ่าที่หมู่บ้านปู้เหล่า หรือชมสถาปัตยกรรมรักษ์โลกที่ห้องสมุดเป่ยโถว ไต้หวันก็คือจุดหมายปลายทางที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการท่องเที่ยวเชิงยั่งยืน เพราะทุกเส้นทางล้วนเต็มไปด้วยความหมายและช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมไปพร้อม ๆ กัน ลองมาสัมผัสไต้หวันในมุมมองใหม่ที่ผสมผสานความสุขของการท่องเที่ยวและความรับผิดชอบต่อโลกไปด้วยกัน!
ขอขอบคุณข้อมูลจาก: